Google Tracks Android, iPhone Users Even With ‘Location History’ Turned Off

Google ติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานได้ตลอดเวลาจากฟีเจอร์ Location

ในทุกครั้งที่มีการใช้งานแอปพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง Google Maps ผู้ใช้จำเป็นต้องเปิดฟีเจอร์ค้นหาตำแหน่งหรือ Location เพื่อระบุตำแหน่ง ซึ่งในการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Location ทุกครั้งจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งานเพื่อค้นหาเส้นทางและเมื่อสิ้นสุดการใช้งานผู้ใช้ส่วนใหญ่จะทำการปิดฟีเจอร์ Location ไว้ชั่วคราวเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในการใช้งาน แต่จากการตรวจสอบล่าสุดแสดงให้เห็นว่าทาง Google ยังมีการติดตามผู้ใช้งานอยู่ตลอดเวลา

Associated Press เปิดเผยว่าบริการของ Google จำนวนมากบนอุปกรณ์ Android และ iPhone ทำการเก็บข้อมูล Location ของผู้ใช้ไว้ใน "Location History" บนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้แม้ว่าจะมีคำสั่งหยุดการทำงาน Location ชั่วคราวก็ตาม ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบกับผู้ใช้งาน Android ประมาณสองพันล้านรายและผู้ใช้งาน iPhone นับร้อยล้านคนทั่วโลกที่ใช้งานแอพพลิเคชั่น Google Map ในการค้นหาเส้นทาง

หากผู้ใช้งานไม่ต้องการให้ Google ติดตามการเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้ปิดการใช้งาน "Location History" ได้

ที่มา : thehackernews

iPhone Apps With Camera Permissions Can Secretly Take Your Photos Without You Noticing

พบความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ร้ายแรงบน iPhone ซึ่งทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าโหมดถ่ายภาพและบันทึกวิดีโอโดยที่ผู้ใช้งานไม่รู้ตัว ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดยนักพัฒนาชาวออสเตรียและวิศวกรของ Google Felix Krause ซึ่งระบุรายละเอียดลงในโพสต์บล็อกของเขา
การเข้าถึงกล้องบนแอพพลิเคชั่นมากมายเช่น Facebook, WhatsApp และ Snapchat ต้องมีการขอสิทธิ์เพื่อเข้าถึงกล้องของผู้ใช้ที่จะถ่ายภาพภายในแอพพลิเคชั่น แม้ส่วนนี้จะถูกมองว่าเป็นความสามารถของ Application แต่ก็สามารถถูกใช้เป็นช่องทางในการเข้าถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้จากผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน ส่งผลให้สามารถถ่ายภาพและบันทึกกิจกรรมของผู้ใช้ แล้วทำการอัพโหลดได้ทันที รวมทั้งสามารถเรียกใช้การตรวจจับใบหน้าเรียลไทม์(Face Detection) เพื่ออ่านลักษณะบนใบหน้าโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ โดยทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดความไม่ปลอดภัยในเรื่องของความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้ใช้งานได้โดยตรง
ทั้งนี้ Krause ก็ได้ทำการแจ้งไปยัง Apple เพื่อให้แนะนำวิธีที่สามารถกำหนดให้มีการใช้กล้องเพียงชั่วคราวภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น หรืออาจให้มีการแจ้งบนหน้าจอ หรือมีแสงไฟขึ้นเมื่อมีการใช้กล้องเพื่อผู้ใช้จะได้ทราบ อย่างเช่นการ Record Screen ที่จะมีแถบสีแดงขึ้น เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดคือควรติดตั้ง Application ที่มาจาก App Store เท่านั้น รวมถึงควรจะอ่าน Review เกี่ยวกับ Application หรือ Developer จากผู้ใช้งานคนอื่นก่อนที่จะติดตั้ง อย่างไรก็ตามหากผู้ใช้งานคนไหนสะดวกที่ใช้วิธีติด Sticker ในส่วนของกล้องเหมือนกับ Mark Zuckerberg(Facebook CEO) และ James Comey(ex-FBI Director) ก็ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันได้เช่นเดียวกัน

ที่มา : Thehackernews

Proof-of-Concept Exploit Code Published for Remote iPhone 7 WiFi Hack

Gal Beniamini นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Google Project Zero ได้มีการประกาศการค้นพบช่องโหว่ด้านความปลอดภัย CVE-2017-11120 ซึ่งสามารถทำให้ผู้โจมตีเข้าควบคุม iPhone 7 และอุปกรณ์ที่ใช้ iOS ในรุ่นอื่นๆ ได้จากระยะไกลผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมตัวอย่างโค้ดสำหรับโจมตี

ช่องโหว่ดังกล่าวนั้นเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลซึ่งอยู่บนเฟิร์มแวร์ Wi-Fi ของ iPhone 7 โดยกระทบ iOS ทุกเวอร์ชันก่อนหน้า iOS 11 ในการทดสอบนั้น Gal ได้ทำการทดสอบช่องโหว่บน iPhone 7 ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสามารถใช้ช่องโหว่ควบคุมอุปกรณ์ได้ แต่ช่องโหว่ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ในรุ่นหรือจากผู้ผลิตอื่นๆ ที่ใช้เฟิร์มแวร์เดียวกันได้

ในขณะนี้ทางแอปเปิลและกูเกิลได้มีการปล่อยแพตช์ด้านความปลอดภัยเพื่อปิดช่องโหว่นี้แล้ว แนะนำให้ผู้ใช้งานทำการอัพเดตซอฟต์แวร์ระบบเพื่อปิดช่องโหว่นี้โดยด่วน

ที่มา : Bleepingcomputer