Dr.Web ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสของรัสเซียเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโทรจันตัวใหม่ชื่อว่า Linux.
New Linux crypto-miner steals your root password and disables your antivirus
Adobe plugs critical RCE Flash Player flaw, update ASAP! Exploitation may be imminent
Adobe ได้เปิดตัวการปรับปรุง Flash Player ช่องโหว่ที่มีระความความรุนแรงสูง CVE-2018-15981 ส่งผลให้มีการเรียกใช้โค้ดจากระยะไกลได้
ช่องโหว่ CVE-2018-15981 ถูกค้นพบและเปิดเผยต่อสาธารณโดยนักวิจัย Gil Dabah เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง Adobe ได้แนะนำผู้ใช้งานให้ทำการอัพเดทแพทช์เร่งด่วน พรอมทั้งทำการอัพเดทเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome และ Microsoft Edge ด้วย เพราะทั้งสองมี Flash เป็นค่าเริ่มต้นและมีช่องโหว่อยู่ด้วย
จากข่าวรายงานว่า ทาง Adobe กำลังวางแผนหยุดสนับสนุน Flash Player ออกไปโดยสิ้นเชิงในปี 2020
Flash Player ที่ได้รับผลกระทบดังนี้ : Flash Player 31.0.0.148 และเวอร์ชันก่อนหน้านี้สำหรับ Windows, MacOS, Linux และ Chrome OS
ที่มา : helpnetsecurity
Linux Kernel Vulnerability
นักวิจัยด้านความปลอดภัย Juha-Matti Tilli ประกาศการค้นพบช่องโหว่ในลินุกซ์เคอร์เนล "SegmentSmack" ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถทำ DoS กับระบบได้จากระยะไกลเพียงส่งแพ็คเกตพิเศษเข้าไปโจมตี กระทบตั้งแต่ลินุกซ์เคอร์เนลรุ่น 4.9 เป็นต้นไป
ช่องโหว่ดังกล่าวเป็นผลลัพธ์มาจากการทำงานของฟังก์ชัน tcp_collapse_ofo_queue() และ tcp_prune_ofo_queue() ในลินุกซ์เคอร์เนลที่ผิดพลาดซึ่งส่งผลให้เมื่อมีการส่งแพ็คเกตในรูปแบบพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีช่องโหว่นี้โดยเฉพาะทางการเชื่อมต่อบนโปรโตคอล TCP ที่สร้างไว้แล้ว จะทำให้ระบบหยุดการทำงานในเงื่อนไขของการโจมตีแบบปฏิเสธการทำงาน (DoS) ได้
ช่องโหว่ดังกล่าวสามารถโจมตีได้จากระยะไกล จากทุกพอร์ตที่มีการเปิดใช้งานอยู่ แต่เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยการโจมตีบนโปรโตคอล TCP ทำให้การโจมตีช่องโหว่นี้ไม่สามารถที่จะปลอมแปลงแหล่งที่มาได้
Recommendation ในขณะนี้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้มีการทยอยออกแพตช์ที่ช่วยป้องกันการโจมตีมาที่ช่องโหว่ SegmentSmack แล้ว แนะนำให้ผู้ใช้งานทำการตรวจสอบและอัปเดตแพตช์โดยด่วน
Affected Platform Linux kernal ตั้งแต่เวอร์ชัน 4.9 เป็นต้นไป
ที่มา : KB.Cert.
systemd Vulnerability Leads to Denial of Service on Linux
แจ้งเตือนช่องโหว่ใน DNS resolver ของ systemd ยิงระบบค้างได้
นักวิจัยและพัฒนาช่องโหว่ William Gamazo Sanchez จาก TrendMicro ได้มีการเปิดเผยการค้นพบช่องโหว่พร้อมทั้งรายละเอียดล่าสุดวันนี้โดยช่องโหว่ที่มีการค้นพบนั้นเป็นช่องโหว่รหัส CVE-2017-15908 ซึ่งอยู่ในฟังก์ชันการทำ DNS resolve ของ systemd ซึ่งปัจจุบันมีการใช้งานอยู่ในระบบปฏิบัติการลินุกซ์หลายดิสโทร
การโจมตีช่องโหว่นี้จะเกิดขึ้นเมื่อเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ DNS ที่มีช่องโหว่ทำการรีเควสต์เพื่อร้องขอข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ DNS ที่ถูกควบคุมโดยผู้โจมตี โดยเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ DNS ที่ถูกควบคุมโดยผู้โจมตีจะมีการส่งข้อมูลตอบรับแบบพิเศษมาส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ DNS ทีมีช่องโหว่เมื่อได้รับแพ็คเกตดังกล่าวแล้วจะทำการวนการทำงานแบบไม่มีสิ้นสุด ใช้ทรัพยากรของระบบจนหมดและทำให้ระบบไม่สามารถให้บริการได้
Recommendation ในตอนนี้ช่องโหว่นี้ได้มีแพตช์ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง TrendMicro แนะนำให้ผู้ดูแลระบบทำการตรวจสอบแพตช์เฉพาะดิสโทรของตัวเองโดยทันที อย่างไรก็ตามหากระบบไม่สามารถทำการแพตช์ได้ TrendMicro แนะนำให้ผู้ดูแลระบบทำการบล็อคแพ็คเกต DNS แบบพิเศษที่สามารถโจมตีช่องโหว่ได้ (ดูเพิ่มเติมใน RFC 4034 ส่วนที่ 4 หรือ NSEC record) เพื่อป้องกันระบบในเบื้องต้น
ที่มา : Trendmicro
Samba needs two patches, unless you’re happy for SMB servers to dance for evildoers
แจ้งเตือนช่องโหว่ร้ายแรงบน Samba กระทบ SMB บนลินุกซ์หลายดิสโทร
ลินุกซ์หลายดิสโทร อาทิ Red Hat, Ubuntu, Debian และอื่นๆ ได้มีการปล่อยแพตช์ช่องโหว่ use-after-free ซึ่งมีผลกระทบซอฟต์แวร์ SAMBA ตั้งแต่เวอร์ชัน 4.0 เป็นต้นมา (และมีอีกช่องโหว่ที่กระทบตั้งแต่ 3.6.0) โดยอาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำได้
ในการโจมตีผู้โจมตีจะต้องอาศัยเพียงการส่งแพ็คเกตบนโปรโตคอล SMBv1 ไปที่ซอฟต์แวร์ที่มีช่องโหว่ แม้ว่าการปิดการใช้งาน SMBv1 อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็มีผลิตภัณฑ์อีกหลายรายการที่ซัพพอร์ตเพียงแค่ SMBv1
ผู้ใช้งานและผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและดาวโหลดแพตช์ได้จากลิงค์ต่อไปนี้
http://www.
Linux vulnerable to privilege escalation
Cisco ได้รายงานถึงข้อผิดพลาดเกี่ยวกับ Advanced Linux Sound Architecture (ALSA) เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการเปิดเผย CVE ออกมาอย่างเป็นทางการ
ช่องโหว่นี้ได้รับการระบุเป็น CVE-2017-15265 แต่ให้คงสถานะเป็น reserved เอาไว้ก่อนในวันที่ประกาศ โดยเป็นช่องโหว่ที่เกิดจากความผิดพลาดของ Use-After-Free หรือความพยายามในการเข้าถึง memory ที่ถูกปล่อย(Free) หลังจากถูกใช้งานเรียบร้อยแล้วใน ALSA ของแอพพลิเคชัน ผู้โจมตีสามารถทำการโจมตีผ่านช่องโหว่นี้จากการเรียกใช้แอพพลิเคชั่นที่สร้างขึ้นมาในระบบของเป้าหมาย หากการโจมตีสำเร็จสามารถทำให้ผู้โจมตีได้รับสิทธิ์ที่สูงขึ้นในระบบของเป้าหมายได้
แม้ว่าช่องโหว่นี้อาจจะส่งผลเฉพาะกับเครื่องที่โดนโจมตีเท่านั้น แต่การที่ผู้โจมตีสามารถทำการเพิ่มสิทธิ์ตนเองให้สูงขึ้นได้นั้น ก็ส่งผลให้ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในระดับ High ทั้งนี้จากรายงานได้ระบุว่าได้มีการแก้ไขช่องโหว่นี้โดยการปรับฟังก์ชั่นการทำงานให้รัดกุมขึ้น และได้อัพโหลดขึ้นไปบน ALSA git tree เรียบร้อยแล้ว
ที่มา : TheRegister
Securing Network Time
สรุปการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของ ntpd, NTPSec และ Chrony จาก Core Infrastructure Initiative
Core Infrastructure Initiative (CII) เป็นโครงการภายใต้ Linux Foundation ซึ่งมีหน้าที่ในการหาทุนและช่วยสนับสนุนโครงการซอฟต์แวร์แบบโอเพนซอร์สหลายโครงการที่มีความสำคัญสูง อาทิ OpenSSL, OpenSSH รวมไปถึง ntpd และ NTPsec ล่าสุด CII ร่วมกับ Mozilla ได้ร่วมกันสนับสนุนทุนเพื่อตรวจสอบซอร์สโค้ดของโครงการซอฟต์แวร์ 3 โครงการที่อิมพลีเมนต์การทำงานของโปรโตคอล NTP ได้แก่ ntpd, NTPSec และ Chrony โดยการตรวจสอบทั้งหมดนั้นถูกดำเนินการโดยบริษัทด้านความปลอดภัย Cure53
สำหรับความปลอดภัยของโปรแกรม ntpd นั้น Cure53 ได้ทำการตรวจสอบ ntpd ในรุ่น 4.2.8p10 ซึ่งมีการเผยแพร่ในเดือนมีนาคม 2017 ด้วยลักษณะของโครงการ ntpd ซึ่งเป็นโครงการซอฟต์แวร์แรกที่อิมพลีเมนตร์การทำงานของโปรโตคอล NTP และมีประวัติการพัฒนายาวนานมากว่า 25 ปี การตรวจสอบด้านความปลอดภัยจึงมีการตรวจพบช่องโหว่กว่า 12 รายการ ( 1 Critical, 2 High, 1 Medium และ 8 Low)
ในขณะเดียวกันโครงการ NTPSec ที่มีการแยกพัฒนาต่อจาก ntpd เพื่อลดความซับซ้อนและแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยถูกตรวจพบว่ามีช่องโหว่ 7 ช่องโหว่ (3 High, 1 Medium และ 3 Low ) เมื่อเปรียบเทียบกับความก้าวหน้าของโครงการ NTPsec ซึ่งในเวลานี้ยังไม่มีการปล่อยเวอร์ชันเต็ม (1.0) ออกมา NTPSec ยังต้องมีการพัฒนาอีกพอสมควรเพื่อให้สามารถปล่อยซอฟต์แวร์ในรุ่นที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดออกมาได้
สำหรับโครงการ Chrony ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่ได้มีการพัฒนาต่อมาจาก ntpd เดิมนั้น มีเพียง 2 ช่องโหว่ที่ถูกตรวจพบ โดยทั้งสองช่องโหว่นั้นมีความรุนแรงอยู่ในระดับต่ำ (Low) รายงานจาก Cure53 ยังระบุเพิ่มเติมว่า Chrony เป็นซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่งมากและยังแสดงให้เห็นว่านักพัฒนามีการคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยอยู่ตลอด ซึ่งโดยสรุปแล้ว Chrony เป็นซอฟต์แวร์ที่สมควรได้รับความน่าเชื่อถือในการใช้งาน
ข้อมูลการตรวจสอบพร้อมทั้งรายงานของ Cure53 ฉบับเต็มนั้นสามารถตรวจสอบได้จากแหล่งที่มา
ที่มา : Coreinfrastructure
พบบั๊กร้ายแรงใน sudo บน Linux เปิดให้ผู้ที่ Shell เข้ามาสามารถเข้าถึงสิทธิ์ Root ได้ แนะ Patch ทันที
ค้นพบบั๊กร้ายแรงบน sudo ใน Linux ที่เปิดให้ผู้ที่มี Shell Account สามารถเข้ามายกระดับสิทธิ์ของตนเองเป็น Root ได้
ช่องโหว่ดังกล่าวเกิดจากปัญหาในการ Parse เนื้อหาในคำสั่ง sudo ที่ผิดพลาด ทำให้ผู้โจมตีในระบบ Linux ที่มีการตั้งค่าไว้ในบางรูปแบบสามารถใช้ปัญหานี้ในการ Overwrite ไฟล์ใดๆ บนระบบ, Bypass การจำกัดสิทธิ์ต่างๆ ไปจนถึงการยกระดับสิทธิ์ตัวเองเป็น Root ได้
โดยปัญหานี้เกิดขึ้นกับ Linux จำนวนมาก และส่งผลกระทบไปถึง Linux ที่ใช้ SELinux ด้วย ซึ่งรายการของ Linux ที่ได้รับผลกระทบมีดังนี้
Red Hat Enterprise Linux 6 (sudo)
Red Hat Enterprise Linux 7 (sudo)
Red Hat Enterprise Linux Server (v. 5 ELS) (sudo)
Debian wheezy
Debian jessie
Debian stretch
Debian sid
Ubuntu 17.04
Ubuntu 16.10
Ubuntu 16.04 LTS
Ubuntu 14.04 LTS
SUSE Linux Enterprise Software Development Kit 12-SP2
SUSE Linux Enterprise Server for Raspberry Pi 12-SP2
SUSE Linux Enterprise Server 12-SP2
SUSE Linux Enterprise Desktop 12-SP2
OpenSuse
สำหรับคำแนะนำเพื่อแก้ปัญหานี้คือการอัปเดต Patch ดังนี้
Debian/Ubuntu ใช้ sudo apt update และ sudo apt upgrade
CentOS/RHEL ใช้ sudo yum update
Fedora ใช้ sudo dnf update
SUSE ใช้ sudo zypper update
Arch Linux ใช้ sudo pacman -Syu
Alpine ใช้ apk update && apk upgrade
ที่มา : TECHTALKTHAI , cyberciti
Linux Mint Website Hacked and ISOs replaced with Backdoored Operating System
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Linux Mint หนึ่งใน Linux Distro ยอดนิยมได้ออกมาประกาศว่าเว็บไซต์ linuxmint.
Critical glibc Flaw Puts Linux Machines and Apps at Risk (Patch Immediately)
นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Google และ Red Hat ได้ตรวจพบบั๊ก Stack Buffer Overflow ใน GNU C Library (glibc) ที่ใช้ใน DNS Resolver บน Linux ซึ่งผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่ในส่วนนี้เพื่อเข้าควบคุมระบบ Linux ของผู้ใช้งานได้
การโจมตีนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้โจมตีสร้าง Domain หนึ่งขึ้นมา และพยายามให้ผู้ใช้งาน Linux ทำการ Resolve Domain นั้นๆ ให้ได้ จากนั้นผู้โจมตีก็จะทำการตอบ DNS ผ่าน DNS Server ที่มีการตั้งค่าให้ส่งข้อความเพื่อโจมตีช่องโหว่นี้บน Linux โดยเฉพาะ ซึ่งการโจมตีนี้ส่งผลกระทบกับทั้ง Linux ที่เป็น Server และ Desktop แนะนำให้ผู้ใช้ Linux อัพเดต Patch glibc โดยด่วน
ที่มา : thehackernews