ตรวจพบ Ransomware สายพันธุ์ใหม่ชื่อ HybridPetya ซึ่งสามารถ Bypass การทำงานของ UEFI Secure Boot เพื่อทำการติดตั้งแอปพลิเคชันอันตรายลงใน EFI System Partition ได้
HybridPetya ดูเหมือนจะได้รับแรงบันดาลใจจากมัลแวร์ Petya/NotPetya ซึ่งเคยเข้ารหัสคอมพิวเตอร์ และทำให้ Boot Windows ไม่ได้ในการโจมตีเมื่อปี 2016 และ 2017 โดยไม่มีวิธีกู้คืนข้อมูล
นักวิจัยจากบริษัท ESET พบตัวอย่างของ HybridPetya บน VirusTotal โดยระบุว่า มัลแวร์นี้อาจเป็นโครงการวิจัย, Proof-of-Concept (PoC) หรือเป็นเวอร์ชันเริ่มต้นของเครื่องมือของกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ ที่ยังอยู่ในระยะทดลอง
อย่างไรก็ตาม ESET ระบุว่า การพบ HybridPetya ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง (เช่นเดียวกับ BlackLotus, BootKitty และ Hyper-V Backdoor) ที่แสดงให้เห็นว่า UEFI bootkit ซึ่งมีความสามารถ Bypass การป้องกัน Secure Boot นั้นเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริง
HybridPetya ผสานลักษณะเด่นของ Petya และ NotPetya เข้าด้วยกัน ทั้งในด้านลักษณะการแสดงผล และขั้นตอนการโจมตีของมัลแวร์รุ่นเก่าเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนา Ransomware HybridPetya ได้เพิ่มความสามารถใหม่ เช่น การติดตั้งลงใน EFI System Partition และความสามารถในการ Bypass การป้องกัน Secure Boot โดยอาศัยช่องโหว่ CVE-2024-7344
ESET ค้นพบช่องโหว่นี้เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ โดยปัญหานี้เกิดจาก แอปพลิเคชันที่มีการ signed โดย Microsoft ซึ่งอาจถูกผู้โจมตีใช้เพื่อติดตั้ง Bootkit ได้ แม้ว่า Secure Boot ของเครื่องเป้าหมายจะยังทำงานอยู่
เมื่อเริ่มทำงาน HybridPetya จะตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์เป้าหมายใช้ UEFI แบบ GPT partitioning หรือไม่ จากนั้นจะปล่อย Bootkit อันตรายลงใน EFI System Partition ซึ่งประกอบด้วยไฟล์หลายไฟล์
ซึ่งไฟล์เหล่านี้ประกอบด้วย ไฟล์ configuration และ validation, modified bootloader, fallback UEFI Bootloader, exploit payload container และ status file สำหรับติดตามความคืบหน้าของการ encryption
ESET ระบุไฟล์ที่พบในหลายเวอร์ชันของ HybridPetya ดังนี้
\EFI\Microsoft\Boot\config – เก็บข้อมูล encryption flag, key, nonce และ victim ID
\EFI\Microsoft\Boot\verify – ใช้สำหรับตรวจสอบ decryption key ว่าถูกต้องหรือไม่
\EFI\Microsoft\Boot\counter – ใช้ติดตามความคืบหน้าของการ encrypted clusters
\EFI\Microsoft\Boot\bootmgfw.
