คริปโทเคอร์เรนซีมูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ และการฉ้อโกง ถูกอายัดไว้จากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และบริษัทเอกชน ผ่านการดำเนินงานที่แยกกันอย่างอิสระ
หนึ่งในปฏิบัติการสำคัญคือโครงการ T3+ Global Collaborator Program ที่จัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงาน T3 Financial Crime Unit (T3 FCU) ซึ่งเป็นโครงการระหว่าง TRM Labs, TRON และ Tether และเริ่มดำเนินการเมื่อราวหนึ่งปีก่อน โดยมี Binance ในฐานะสมาชิกอย่างเป็นทางการรายแรก โดยทั้งหมดล้วนเป็นองค์กรชั้นนำในแวดวงบล็อกเชน
TRM Labs เปิดเผยว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการในเดือนกันยายน 2024 เป็นต้นมา ได้มีการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทั่วโลกมูลค่ากว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในจำนวนนี้มีเงิน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ถูกอายัดจากความร่วมมือกับ Binance เพื่อปราบปรามกลโกงแบบ Romance Baiting
นอกจากนี้ TRM Labs ยังรายงานว่า หน่วยงาน T3 FCU ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก ตั้งแต่ก่อตั้งในเดือนกันยายน 2024 โดยได้ตรวจสอบธุรกรรมหลายล้านรายการในห้าทวีป และติดตามการเคลื่อนไหวทางการเงินรวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขัดขวางเครือข่ายอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน T3 FCU มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการสอบสวนคดีฟอกเงิน, ฉ้อโกงการลงทุน, การข่มขู่เรียกทรัพย์, การจัดหาเงินทุนแก่การก่อการร้าย และอาชญากรรมทางการเงินขั้นรุนแรงอื่น ๆ ทั่วโลก
ปฏิบัติการครั้งที่สองนี้เกิดขึ้นจากการร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองบล็อกเชนของ Chainalysis
ความร่วมมือครั้งนี้นำไปสู่การปฏิบัติการสำคัญ 2 โครงการ ได้แก่ "Project Atlas" ซึ่งนำโดยตำรวจออนแทรีโอ (OPP) และ "Operation Avalanche" ซึ่งนำโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของบริติชโคลัมเบีย (BCSC) โดยทั้งสองปฏิบัติการนี้ได้ใช้ข้อมูลวิเคราะห์จาก Chainalysis ในการติดตามเงินที่ได้จากการหลอกลวง
ตามรายงานจากแพลตฟอร์มข้อมูลบล็อกเชน การสืบสวนในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาได้ค้นพบความสูญเสียจากการฉ้อโกงหลายรูปแบบรวมมูลค่ากว่า 74.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกอายัดไว้แล้ว
Chainalysis ระบุในแถลงการณ์ว่า “โครงการ Atlas ซึ่งดำเนินการจากแคนาดาแต่มีขอบเขตการทำงานระดับโลก สามารถระบุที่อยู่กระเป๋าเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อการฉ้อโกงกว่า 2,000 แห่งใน 14 ประเทศ รวมถึงแคนาดา, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, เยอรมนี และสหราชอาณาจักร”
“ด้วยความร่วมมือโดยตรงกับ Tether บริษัทสามารถบล็อกเงิน USDT มูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มิจฉาชีพไม่สามารถเคลื่อนย้าย หรือแปลงสินทรัพย์ที่ถูกขโมยเหล่านี้ได้”
ทั้งสองปฏิบัติการ ผสานการสืบสวนอย่างเข้มข้นควบคู่กับความร่วมมือในระดับโลกอย่างเป็นระบบ เพื่อจับตา และเข้าแทรกแซงในระดับบล็อกเชน ส่งผลให้การเคลื่อนย้าย หรือใช้จ่ายเงินที่ได้จากการฉ้อโกงของอาชญากรไซเบอร์ถูกจำกัดลงอย่างมาก
ที่มา : bleepingcomputer.