CISA และ NSA เผยคำแนะนำในการรักษาความปลอดภัยเซิร์ฟเวอร์ Microsoft Exchange

สำนักงานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐาน (CISA) และสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ได้เผยแพร่คำแนะนำเพื่อช่วยผู้ดูแลระบบในการยกระดับความปลอดภัยให้กับ Microsoft Exchange Server บนเครือข่ายของตนเพื่อป้องกันการโจมตี

แนวทางปฏิบัติที่แนะนำ ได้แก่ การยกระดับความปลอดภัยของการ authentication และการเข้าถึงของผู้ใช้, การลด surfaces การโจมตีของแอปพลิเคชัน และการสร้างความแข็งแกร่งของ network encryption

หน่วยงานทั้งสองยังแนะนำให้ผู้ดูแลระบบยุติการใช้งาน Exchange servers แบบ on-premises หรือแบบ hybrid ที่ end-of-life หลังจากเปลี่ยนไปใช้ Microsoft 365 แล้ว เนื่องจากการคง Exchange servers ตัวสุดท้ายไว้ในระบบโดยที่ไม่ได้อัปเดต อาจทำให้องค์กรตกเป็นเป้าของการโจมตี และเพิ่มความเสี่ยงต่อการละเมิดความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวถึงในคำแนะนำของ CISA และ NSA แต่การเฝ้าระวังกิจกรรมที่เป็นอันตราย หรือน่าสงสัย และการวางแผนรับมือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และการกู้คืนข้อมูล ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน ในการลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Exchange servers ภายในองค์กร

หน่วยงานทั้งสองกล่าวสรุปในรายงาน โดยมีศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งออสเตรเลีย (ACSC) และศูนย์ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งแคนาดา (Cyber Centre) เข้าร่วมด้วย โดยระบุว่า "ด้วยการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงระดับผู้ดูแลระบบ, การใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย, การบังคับใช้การกำหนดค่าความปลอดภัยการรับส่งข้อมูลที่เข้มงวด และการนำหลักการความปลอดภัยแบบ Zero Trust (ZT) มาใช้ โดยองค์กรต่าง ๆ จะสามารถเสริมสร้างการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก"

"นอกจากนี้ เนื่องจาก Exchange Server บางเวอร์ชันเพิ่งสิ้นสุดอายุการใช้งาน (EOL) หน่วยงานฯ จึงขอแนะนำอย่างยิ่งให้องค์กรต่าง ๆ ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยง และป้องกันกิจกรรมที่เป็นอันตราย"

CISA, NSA และพันธมิตร ได้แชร์คำแนะนำด้านความปลอดภัยที่สำคัญกว่า 10 ข้อ สำหรับผู้ดูแลระบบเครือข่าย ซึ่งรวมถึงการอัปเดตเซิร์ฟเวอร์ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ, การย้ายระบบจาก Exchange เวอร์ชันที่ไม่รองรับ, การเปิดใช้งานบริการบรรเทาผลกระทบฉุกเฉิน, การเปิดใช้งานฟีเจอร์ป้องกันสแปม และมัลแวร์ในตัว, การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงระดับผู้ดูแลระบบเฉพาะจากส่วนการทำงานที่ได้รับอนุญาต และการใช้มาตรฐานความปลอดภัยพื้นฐาน สำหรับทั้งระบบ Exchange Server และ Windows

หน่วยงานต่าง ๆ ยังแนะนำให้เสริมความแข็งแกร่งของการยืนยันตัวตนด้วยการเปิดใช้งาน MFA, Modern Auth, การใช้ประโยชน์จาก OAuth 2.0, การใช้ Kerberos และ SMB แทน NTLM เพื่อรักษาความปลอดภัยกระบวนการยืนยันตัวตน และการกำหนดค่า Transport Layer Security เพื่อปกป้องความสมบูรณ์ของข้อมูล และ Extended Protection เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ Adversary-in-the-Middle (AitM), การโจมตีแบบ relay และ forwarding

องค์กรต่าง ๆ ควรเปิดใช้งาน certificate-based signing สำหรับ Exchange Management Shell และใช้ HTTP Strict Transport Security (HSTS) เพื่อให้มั่นใจว่าการเชื่อมต่อเบราว์เซอร์มีความปลอดภัย นอกจากนี้ องค์กรควรใช้ role-based access control เพื่อจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้ และผู้ดูแลระบบ, กำหนดค่า Download Domains เพื่อบล็อกการโจมตีแบบ Cross-Site Request Forgery (CSRF) และเฝ้าระวังความพยายามในการแก้ไข P2 FROM header เพื่อป้องกันการ spoofing sender

คำแนะนำร่วมฉบับนี้ เป็นการต่อยอดจากคำสั่งฉุกเฉิน (ED 25-02) ที่ CISA ออกเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งสั่งการให้หน่วยงานฝ่ายบริหารพลเรือนของรัฐบาลกลาง (FCEB) รักษาความปลอดภัยระบบของตนจากช่องโหว่ระดับความรุนแรงสูงของ Microsoft Exchange แบบ hybrid (CVE-2025-53786) ภายใน 4 วัน

ตามที่ Microsoft เตือนไว้ในขณะนั้น ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ Microsoft Exchange Server 2016, 2019 และ Subscription Edition โดยเปิดช่องให้ผู้โจมตีที่สามารถเข้าถึงสิทธิ์ผู้ดูแลระบบของ Exchange Server แบบ on-premises สามารถโจมตีต่อไปยังระบบ Cloud ของ Microsoft ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีโดเมนทั้งหมด

เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ CISA สั่งการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางอัปเดตแพตช์เซิร์ฟเวอร์ของตน Shadowserver ซึ่งเป็นองค์กรเฝ้าระวังทางอินเทอร์เน็ต พบว่ายังมีเซิร์ฟเวอร์ Exchange กว่า 29,000 เครื่อง ที่ยังคงเสี่ยงต่อการถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ CVE-2025-53786

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และกลุ่มที่มีแรงจูงใจทางด้านการเงิน ได้ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ความปลอดภัยของ Exchange หลายรายการเพื่อเจาะระบบเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงช่องโหว่แบบ zero-day อย่าง ProxyShell และ ProxyLogon ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม 2021 มีกลุ่มแฮ็กเกอร์อย่างน้อย 10 กลุ่มที่ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ ProxyLogon ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Silk Typhoon ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน

ที่มา : bleepingcomputer